Prakard2

 

Head-3

นับแต่โบราณคนไทยทั่วทุกภูมิภาคล้วนมีความเชื่อที่ตรงกัน  เกี่ยวกับเรื่องดวงแก้ววิเศษคู่บุญบารมี  ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์  สามารถคุ้มครองผู้ซึ่งเป็นเจ้าของตลอดจนดลบันดาลหรือหนุนนำมาแต่สิ่งที่ดี  ให้กับผู้ที่ได้ครอบครองมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว  ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องงมงายแต่ประการใด  เนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับแก้ววิเศษบางเรื่อง  ได้รับการจดบันทึกไว้อย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ของชาติ  พร้อมทั้งมีการเก็บรักษาดวงแก้ววิเศษนั้นเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันประกอบด้านวัตถุ  ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบความจริงเกี่ยวกับปาฏิหารย์ความศักดิ์สิทธิ์ของดวงแก้ววิเศษนั้นอีกด้วย  เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น  จึงขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้

ยุคที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  ในสมัยแผ่นดินขององค์สมเด็จพระมหาธรรมราชา  ที่หมู่บ้านสวนจันทร์  ตำบลชุมพล  เมืองจะทิ้งพระ (ปัจจุบันเป็นอำเภอสะทิ้งพระ  จังหวัดสงขลา)  ได้มีสามีภรรยาที่ยากจนคู่หนึ่งสามีชื่อตาหู  ภรรยาชื่อนางจันทร์  ได้ให้กำเนิดบุตรชายเมื่อวันศุกร์  เดือนสี่  ปีมะโรง  พ.ศ.2125  โดยตั้งชื่อบุตรชายของตนว่า “ปู่”  วันหนึ่งสามีภรรยาคู่นี้ได้อุ้มลูกชายออกไปทุ่งนา  เพื่อช่วยกันเกี่ยวข้าวให้กับคหบดีซึ่งเป็นเจ้านายของตน  พอถึงทุ่งนาได้เอาผ้าผูกกับต้นเหม้าและต้นหว้า  ซึ่งขึ้นอยู่ใกล้กันทำเป็นเปลให้ลูกนอน  ขณะที่สองสามีภรรยากำลังเกี่ยวข้าวอยู่นั้น  ปรากฏว่ามีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาก  มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่  ด้วยความตกใจกลัวว่าบุตรชายของตนจะได้รับอันตราย  จึงร้องโวยวายจนเพื่อนชาวนาที่เกี่ยวข้าวอยู่ใกล้เคียงต่างก็รีบวิ่งมาดู  แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้  เนื่องจากงูใหญ่ดังกล่าวพอเห็นคนเข้ามาใกล้ก็จะชูศรีษะขึ้นสูง  ส่งเสียงขู่อย่างน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

สองสามีภรรยาจึงอธิษฐานขอให้เทพยดาช่วยเหลือ  แล้วก็พากันไปหาดอกไม้แถวนั้นและเก็บรวงข้าวมาเผาไฟเป็นข้าวตอก  จากนั้นก็นำมาบูชากราบไหว้งูใหญ่  พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้บุตรชายของตนปลอดภัย  ในชั่วครู่งูใหญ่นั้นก็คลายขนดลำตัวออกจากเปลของเด็กชายปู่แล้วเลื้อยหายไปทันที  สองสามีภรรยาและเพื่อนชาวนาจึงรีบพากันเข้าไปดูที่เปล  ปรากฏว่าเด็กชายปู่ยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ  แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ  บริเวณลำคอของเด็กชายปู่กลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งวางเอาไว้  ซึ่งเด็กชายปู่ผู้นี้ต่อมาภายหลังได้เป็นผู้มีชื่อเสียง  เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศ  นับตั้งแต่แผ่นดินยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาจวบจนปัจจุบันนี้  และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากสมเด็จพระเอกาทศรถทรงแต่งตั้งให้ดำรงสมณศักดิ์เป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ “สมเด็จเจ้าพระโคะ” หรือ  “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั่นเอง” ส่วนดวงแก้วหรือลูกแก้วคู่บารมีที่งูตระบองสลาคายมอบให้หลวงปู่ทวดในวัยทารก  ปัจจุบันลูกแก้วดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดพระโคะ (วัดพระราชประดิษฐาน)  60 หมู่ 6  ตำบลชุมพล  อำเภอสทิงพระ  จังหวัดสงขลา  ซึ่งทางวัดพะโคะเล่าว่าบางครั้งลูกแก้วดังกล่าวก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมาเองอยู่บ่อย ๆ  เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

อีกเรื่องหนึ่ง  เป็นตำนานในบันทึกแนบท้ายพระราชพงศาวดารเหนือ  ระบุไว้ว่าในราวปีพุทธศักราช 500  ในสมัยแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์)  โดยพระนาคเสนเถระ  วัดอโศการาม  กรุงปาฏลีบุตร  ได้ปวารณาจะสร้างพระพุทธรูปสืบต่อพระพุทธศาสนาให้จรด 5000 พระพุทธศักราช  แต่กังวลว่าจะหาวัสดุใดมาสร้างพระพุทธรูปนี้  เพราะหากใช้ไม้ก็จะอยู่ได้ไม่ถึง 5000 ปี  หากใช้เหล็กก็อาจจะถูกนำไปหลอมละลายเมื่อมีผู้คิดทำลาย  หรือหากจะใช้หินศิลาธรรมดา  ก็จะดูเป็นพระพุทธรูปสามัญทั่ว ๆ ไป  ในที่สุดจึงตกลงใจเลือกใช้ “แก้วมณี”  มาจำหลักพระพุทธรูป  เพียงแต่ยังกังวลใจว่าจะได้แก้วมณีชนิดใด

ในครั้งนั้น  มีมานพหนุ่ม 2 คน (ซึ่งตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นพระอินทร์  และพระวิษณุกรรมจำแลงแปลงร่างมาเป็นมนุษย์)  ได้เข้าไปกราบนมัสการพระนาคเสนเถระ  โดยบอกว่าตนทั้งสองเป็นพ่อค้าเดินทางผ่านมาหลายที่  และได้พบกับแก้วโลกาทิพยรัตตนายก  อันมีรัตนายกดิลกเฉลิม 1,000 ดวง  ลักษณะเป็นสีเขียวทึบคล้ายมรกตหรือหยกอ่อน  ที่เขาวิบุลบรรพต (เวฬุบรรพต)  เห็นว่าเป็นแก้วที่มีความเหมาะสมในการนำมาจำหลักพระพุทธรูป  ให้สืบต่อพระพุทธศาสนาจรด 5,000 ปี  จึงขอมอบแก้ววิเศษนั้นถวายแด่พระนาคเสนเถระ  โดยให้มานพหนุ่มที่มาด้วยกัน (ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระวิษณุกรรมจำแลง)  ทำหน้าที่จำหลักพระพุทธรูปองค์นี้ถวาย  ภายหลังจากที่ได้ทำการจำหลักเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยตามประสงค์ของพระนาคเสนเถระแล้ว  พระนาคเสนจึงได้บอกบุญไปยังอุบาสกอุบาสิกา  เพื่อสร้างมหาวิหารขึ้นใกล้ๆกันกับวัดอโศการาม  แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานไว้เหนือแท่นรัตนบัลลังก์  และปฐมฐาปนาถวายนามพระพุทธรูปนี้ว่า “พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต” หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต” นั่นเอง  นอกจากนี้ในตำนานยังระบุอีกว่า  ขณะที่ประดิษฐานอยู่นั้นพ่อค้าวานิชและพระมหาราชาธิราชจากประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางมาเพื่อต้องการสักการะ  ต่างพบเห็นพระแก้วมรกตเปล่งพระรัศมีออกมาสว่างจ้างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้  เป็นที่น่าพิศวงยิ่งนัก

1228390201

BetFair F.BetRoll UK Bookies
Ladbrokes Review L.BetRoll

เมนูหลัก

WIll Hill BookiesW.BetRoll here...
United Kingdom BetRoll Bookmakers
free web counter